ศิษย์คนหนึ่งถามอาจารย์ของเขาว่า “ปัญญาที่แท้จริงเป็นเช่นไร?”
อาจารย์พาเขาไปที่กองไฟ และชี้ไปที่เปลวไฟที่ลุกโชติช่วง
ศิษย์สังเกตเห็นว่าเปลวไฟนี้ไม่มีควัน
อาจารย์กล่าวว่า “เปลวไฟที่ไร้ควันนี้ เหมือนปัญญาที่บริสุทธิ์ ปราศจากอวิชชาและความสับสน”
“เมื่อจิตปลอดโปร่ง ปัญญาจะส่องสว่างโดยไม่ถูกบดบังด้วยความหลงผิด”
ศิษย์นิ่งเงียบ และเริ่มเข้าใจว่า “เมื่อเราเผชิญกับความคิดและอารมณ์ที่วุ่นวาย ปัญญาของเราถูกบดบังเหมือนควันที่ปิดบังเปลวไฟ”
พุทธศาสนาสอนว่า “ปัญญาที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อจิตเป็นอิสระจากความหลงผิดและยึดติด”
อะไรที่บดบังปัญญาของเรา?
จิตของเรามักถูกบดบังด้วย:
- ความกังวลเกี่ยวกับอดีตและอนาคต
- อารมณ์ที่พัดพาเราไปอย่างไร้ทิศทาง
- ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนและความคิดเห็นของเราเอง
พุทธศาสนาสอนว่า “จิตที่สงบ ปลอดโปร่ง และเป็นอิสระจากอคติ คือจิตที่สามารถมองเห็นสัจธรรมได้ชัดเจน”
3 วิธีทำให้จิตปลอดโปร่งและเกิดปัญญา
หากคุณต้องการขจัด “ควัน” แห่งความสับสน ลองฝึกฝน 3 ข้อนี้:
- ฝึกสติในการรับรู้ความคิด: สังเกตความคิดของตนเองโดยไม่ปล่อยให้มันครอบงำ
- หลีกเลี่ยงการยึดติด: ยอมรับว่าความคิดและอารมณ์เป็นสิ่งชั่วคราว ไม่จำเป็นต้องเชื่อทุกความคิดที่เกิดขึ้น
- ใช้เวลานิ่งเงียบและไตร่ตรอง: ปล่อยให้จิตมีพื้นที่สำหรับความกระจ่างชัด แทนที่จะเต็มไปด้วยเสียงรบกวน
จุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
วันนี้คุณสามารถหยุดและพิจารณาได้หรือไม่ว่าอะไรคือ “ควัน” ที่บดบังปัญญาของคุณ?
“เมื่อจิตปลอดโปร่งเหมือนเปลวไฟที่ไร้ควัน ความจริงจะปรากฏอย่างชัดเจน”
ข้อคิดสำคัญ:
- จิตที่ปลอดโปร่งนำไปสู่ปัญญาที่แท้จริง
- ความยึดติดและความคิดฟุ้งซ่านคือ “ควัน” ที่บดบังความจริง
- การปล่อยวางและสตินำมาซึ่งความกระจ่างชัด
คำถามสำหรับคุณ: วันนี้คุณสามารถปล่อยวางความคิดที่บดบังจิตใจของคุณ และมองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจนขึ้นหรือไม่?